วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ราตรี  เป็นไม้ดอก  มีดอกที่สวยงาม และมีกลิ่นหอมหวลยามค่ำคืน  แต่ในความสวยงามและมีกลิ่นหอมหวลนั้น ราตรียังแฝงด้วยอันตรายที่น่ากลัว  มีความเป็นพิษอยู่ในตัว ที่หลายคนไม่ทราบหรือนึกไม่ถึง  นึกถึงแต่ว่าราตรีมีดอกสีเหลืองอมเขียวสวยงาม  มีกลิ่นหอมหวลลอยไปทั่วๆรอบๆบริเวณต้นยามค่ำคืน  ดังนั้น เราจึงควรจะทราบข้อมูล เพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นพิษนี้
      ราตรีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Costrum nocturnum  Linn.  จัดอยู่ในวงศ์ โซลานาเซอี (Solanaceae)
      เป็นไม้พุ่ม ลำต้นสูงประมาณ  1 – 4  เมตร  ใบเป็นใบเดี่ยวปลายใบเรียวแหลม  รูปร่างของใบคล้ายกับใบหอก ยาวประมาณ  8 – 16  เซนติเมตร  ตัวใบกว้างประมาณ   2.5 – 6  เซนติเมตร  ผิวใบเรียบ  ก้านใบยาวประมาณ  1 – 1.5  เซนติเมตร   มีดอกเป็นช่อ  สีขาว  สีเหลือง สีเหลืองอมเขียวสวยงาม  มีกลิ่นหอมมากในยามค่ำคืน
ราตรี มีดอกสวยกลิ่นหอมแต่แฝงด้วยพิษร้าย1
ภาพ     http://www.google.co.th                           ภาพ       http://www.google.co.thภาพ   ดอกราตรี สีเหลือง และ สีขาว
       แพทย์หญิง ดวงรัตน์  เชี่ยวชาญวิทย์  ซึ่งเป็นแพทย์สมุนไพร แห่งโรงพยาบาลบางกระทุ่ม  กล่าวว่า ความเป็นพิษของราตรีนั้นอยู่ที่  ลำต้น กิ่ง  ก้าน  ใบ  ผล  มีสารพิษที่เรียกว่า  โซลานีน (Solanine)  และ อะโทรพีน (Atropine)  เมื่อได้รับสารพิษนี้เข้าสู่ร่างกาย  จะทำให้  ปาก  คอ แห้ง   ม่านตาขยาย   หัวใจเต้นเร็ว ระดับการหายใจจะช้าลงๆ  ปัสสาวะไม่ออก    และ  เสียชีวิต  ได้ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที

นารีผล
ต้นนารีผล(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
ต้นนารีผล(ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
 
        ในตำนานกล่าวว่า เมื่อใกล้ๆ เวลาผลจะสุก พวกฤาษีชีไพร วิทยาธร คนธรรพ์ ไปนั่งจ้องรอกันเลย จะฆ่ากันตายก็ตอนคอยแย่งนารีผลนี่แหละ จะเอามาเป็นเมีย แต่ว่ามันไม่ได้อยู่ในป่ามนุษย์นี่หรอกนะมันอยู่ในป่าที่เรียกว่าหิมพานต์ มนุษย์ไปถึงได้ไหม ไปได้ แต่คนนั้นพื้นสมาธิต้องแน่นพอ คนที่จะทำได้อย่างนั้นมีน้อยคนเหลือเกินฝึกสมาธิให้ดี แล้วไปดูเองดีกว่านะ
ต้นดองดึง' มีพิษอันตรายถึงชีวิต!

ลักษณะทั่วไป

ดองดึงเป็นพรรณไม้เถาที่มีลำต้นเกิดจากหัวหรือเหง้าใต้ดิน มีลักษณะคล้ายกับหัวขวานหรือฝักกระจับ มีลำต้นหรือเถาเลื้อยเกาะต้นไม้อื่นที่อยู่ใกล้ๆ และสามารถเลื้อยเกาะต้นไม้อื่นได้สูงประมาณ 3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวลักษณะคล้ายรูปหอก มีสีเขียวเข้มเป็นมัน มีลักษณะสวยงาม คือปลายใบจะบิดม้วนเข้าและม้วนลงเป็นหนวด เพื่อเป็นเครื่องช่วยในการเกาะยึดหรือพัน ดองดึงออกดอกตลอดปีแต่ในช่วงฤดูฝนจะให้ดอกดกมาก ดอกดองดึงมีสีสวยสะดุดตา มีลักษณะของดอกจะบิด กลีบดอกจะบิด เป็นเส้นยาวจนยาวหยิก โคนดอกเป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนยอดของดอกสีแดง เมื่อดอกบานเต็มที่สีของดอกนั้นจะเข้มขึ้น ผลเมื่อแก่จัดๆ ก็จะแตกมีเมล็ดเป็นสีส้ม

การปลูก

ดองดึงชอบขึ้นในดินร่วนปนทราย ที่มีการระบายน้ำได้ดี เจริญเติบโตได้ดีทั้งในที่ที่มีแสงแดดจัดและแสงแดดร่มรำไร ชอบน้ำปานกลาง ไม่ควรให้น้ำขังเพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้

การขยายพันธุ์

ขยายพันธุ์โดยการใช้หัวหรือเพาะเมล็ด

สรรพคุณทางยา

เหง้าดองดึงใช้แก้โรคเรื้อน คุดทะราด บาดแผล และขับผายลม รับประทานแก้ลมพรรดึก แก้เสมหะ แก้ลมจับโปง รูมาติซั่ม หัวเข่าปวดบวมได้ดี หัวใช้ต้มรับประทานแก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ แก้ลมจุกเสียด ฝนทาแก้พิษงู พิษตะขาบ แมลงป่อง ทาแก้โรคผิวหนัง แก้โรคหนองใน แต่การใช้เหง้าของดองดึงควรใช้อย่างระวังเพราะหากใช้มากเกินไป อาจเป็นโทษต่อร่างกายได้ ฉะนั้นในการใช้จะต้องระมัดระวัง
ว่านดองดึง

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดอกเดซี่



ดอกเดซี่: เป็นดอกไม้ที่แทนความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อกันและกัน เป็นตัวแทนความรักอันซื่อสัตย์และภักดีขาวสะอาด เดซี่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป และเอเชียไมเนอร์ โดยนักพฤกษาวิทยารู้จักและพบครั้งแรกที่ตำบลเล็ก ๆ ในประเทศเม็กซิโก เป็นสัญลักษณ์แทนหัวใจอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสา โดยหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักมักจะใช้ดอกเดซี่มาเด็ดกลีบเพื่อทำนายรัก…นอกจากนี้เป็นดอกไม้ประจำชาวราศีเมษด้วย
ความหมายตามสีของดอกเดซี่ หรือเยอร์บีร่า 
สีส้ม         -    เธอคือแสงสว่างแห่งชีวิตฉัน
สีแดง       -    ตกหลุมรักโดยไม่รู้ตัว
สีขาว       -    ความไร้เดียงสา ความเที่ยงแท้
สีเหลือง        -    ฉันจะพยามชนะใจเธอให้ได้
การดูแลรักษาควรดึงที่พันดอกออกเพื่อให้ดอกสามารถบานออกได้เต็มวง เติมน้ำลงในภาชนะประมาณ 5 นิ้ว ขึ้นอยู่กับความสูงของภาชนะ  ก้านดอกเยอร์บีร่าเน่าได้ง่ายมาก  หากแช่ในน้ำสูงเกินไป  ก้านดอกเยอร์บีร่า  นั้นมี ความไวต่อเชื้อแบคทีเรีย  ที่อยู่ในน้ำ  ซึ่งจะทำให้ขั้วดอกหลุดออกไป ดังนั้น  จึงควรใช้น้ำสะอาดและหมั่นเปลี่ยนน้ำทุกๆ 1 – 2 วัน ลักษณะโค้งงอของดอกนั้นเป็นธรรมชาติ
ทางยารักษาโรคพระเจ้าเฮนรี่ที่ 7 ทรงเสวยดอกเดซี่ เพื่อรักษาอาการปวดโรคกระเพาะของพระองค์   และยังมีตำหรับยา สำหรับผู้ที่จิตใจไม่ปกติ  กระสับกระส่าย ให้ตำดอกเดซี่แล้วนำไปแช่ในไวน์ดื่มในปริมาณนิดหน่อยประมาณ 15 วันก็จะดีขึ้น
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่
ดอกเดซี่

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2557

ทานาคาหรือกาซาน่า

ทานาคาหรือกาซาน่า

ทานาคา หรือ กาซาน่า (ชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า LICODIA ACIDISSIMA ) มีที่มาจากต้นทานาคา ซึ่งมีมากในแถบตอนกลางของพม่า ส่วนที่มีกลิ่นหอมและเป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์ คือ ส่วนที่เป็นเปลือก การนำทานาคามาใช้จะเลือกต้นทานาคาที่มีอายุราวๆ 35 ปี ตัดเป็นท่อนๆ ขนาดพอดีมือ แล้วใช้ส่วนของเปลือกไม้ไปฝนหรือบดกับหินขัดพร้อมพรมน้ำเป็นระยะ จะได้ออกมาเป็นผงสีออกขาวเหลือง ใช้ทาหน้า ทาตัว ถือเป็นวิธีดั้งเดิม
ทานาคามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงมาก และมีสาร OPC และ Curcuminoid ทำให้ทานาคามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะต่อต้านความเสื่อมของเซลล์และยังช่วยป้องกันการเกิดสิว ด้วยคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และช่วยลดผดผื่นคัน ลดการเกิดจุดด่างดำและฝ้า มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน และยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสียูวีอีกด้วย
ทานาคา มีสรรพคุณในการดูแลผิวหน้า มากมาย เช่น
1. ปรับผิวหมองคล้ำ ให้ขาวผ่อง อย่างปลอดภัยเพราะเป็นสมุนไพรธรรมชาติ
2. หน้าเนียน นุ่ม ล้างออกมาหน้าไม่แห้งตึง ลูบแล้ว สัมผัสได้ถึงความเนียนของผิว
3. สามารถนำมาแต้มหัวสิวได้ ช่วยลดการอักเสบของสิว สิวจะยุบและแห้งเร็ว ควบคุมความมัน สิวใหม่ไม่เกิด
4. ฝ้า กระ และจุดด่างดำ จางลง อย่างเห็นได้ชัด
5. ลดผดผื่น อาการคัน แดง แสบ จากการแพ้เครื่องสำอาง และสารเคมี หรืออื่นๆ
6. มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยลดริ้วรอย ร่องลึกได้ดี ผิวหน้าอ่อนเยาว์
7.ป้องกันแดดให้กับผิวได้เป็นอย่างดี
8. รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว จางลง เพราะผิวได้รับการผลัดผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนโยน
9. ระงับกลิ่นตามร่างกาย

วิธีใช้ทานาคา
1. ให้ใช้แค่น้ำสะอาดธรรมดาในการผสมทานาคา
2. ถ้าหน้าเป็นสิวอักเสบสามารถใช้ทานาคาได้แต่ห้ามขัดโดยเด็ดขาด ถ้าขัดมันจะเป็นสิวมากขึ้นทันตาเห็น
3. ทานาคาจึงเหมาะที่จะขัดกับคนที่ไม่มีสิวแล้ว และไม่ว่าจะผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม ตอนที่ขัดให้เบามือที่สุด ประมาณ แค่ลูบโดยให้นึกว่า เป็นการขัดที่พยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย จะทำให้เบามืออย่างมาก ห้ามกดแรงลงบนนิ้วขณะขัด และให้ขัดแค่ 5 นาที เมื่อครบ 5 นาทีแล้วก็ให้ทิ้งไว้อย่างนั้น จนมันแห้ง หน้าจะตึง ขาววอก
4. ทำการล้างด้วยน้ำธรรมดา ห้ามน้ำอุ่นโดยเด็ดขาด ล้างแบบเบาที่สุด ถ้าจะให้ดีให้เปิดฝักบัวเบา ๆ แล้วก็ปล่อยให้มันราดลงบนหน้าไปสัก 2-3 นาที แล้วก็ใช้ฝ่ามือลูบให้เบาที่สุด หลักการเดียวกัน ก็คือ เป็นการขัดที่พยายามจะไม่ให้นิ้วโดนผิวหน้าเลย ล้างออกให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว
5. ให้เอาน้ำผึ้งผสมน้ำเปล่าธรรมดา ทาหน้าทิ้งไว้ โดยนวดสักเล็กน้อย ทิ้งไว้ 10 นาที ก็ล้างออกเท่านี้สำหรับการใช้ทานาคา ที่ไม่มีอะไรซับซ้อนและคงความดูเป็นเด็กได้

นอกจากนี้คุณสามารถผสมผงทานาคากับส่วนผสมอื่นเพิ่มเติมได้ดังต่อไปนี้
น้ำผึ้ง (สำหรับคนผิวแห้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น)
น้ำมะขามเปียก (สำหรับผิวที่มีจุดด่างดำ)
นมสดรสจืด (สำหรับผิวที่ต้องการความเนียนนุ่ม)
โยเกิร์ต (สำหรับผิวที่ต้องการความนุ่มและใส)
การสังเกตุทานาคาของแท้นั้นต้องเป็นผงทานาคาบริสุทธิ์ 100% สีเหลืองอ่อนมีลักษณะหยาบหน่อยๆ ไม่เนียนหมือนแป้งฝุ่น มีกลิ่นหอมเย็นๆเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สุดท้ายให้เอามะนาวบีบลงบนผงทานาคา ถ้ามันเกิดฟองฟู่แสดงว่าถูกผสมด้วยดินสอพอง

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ไม้ประดับมงคล

ว่านดอกทอง

ว่านดอกทอง เป็นว่านที่มีฤทธิ์รุนแรง และหายากยิ่ง 
ว่านที่จัดอยู่ในประเภทดอกทอง คือ ว่านดอกทอง (ว่านดอกทองแท้),ว่านดอกทองกระเจา ,ว่านมหาเสน่ห์ (รากราคะ) ,ว่านมาอุดม เป็น ว่านที่ผู้เล่นไสยเวทชอบแสวงหากันนัก เพื่อนำไปผสมกับผงวิเศษทำวัตถุมงคล เช่น พระเครื่อง เป็นต้น บางคนก็อยากได้ต้น เอาไปตั้งไว้ในร้านค้าเพื่อเรียกลูกค้า   บางคนก็อยากได้ดอกนำติดตัวเพื่อให้เพศตรงข้ามหลงใหล    แต่ก็หายากลำบาก ความหายากนั้นทำให้หาคนที่รู้จักของจริงแท้ยากด้วยเช่นกัน จึงมักถูกนักขายว่านนำว่านชนิดนั้นชนิดนี้มาหลอกขายให้เสมอ ซึ่งในวันนี้ข้าพเจ้าจะพูดถึง ว่านดอกทอง (ดอกทองแท้) ให้ทราบกันก่อน 

ดอกทองตัวเมีย มีอยู่จริงครับ 
ดอกของว่านดอกทอง
http://www.youtube.com/watch?v=JtbAVKIYgEM    
ความเชื่อตามตำราโบราณกล่าวว่า : ว่านดอกทองชนิดนี้มีอำนาจ มีสรรพคุณใช้ทางเสน่ห์มหานิยมแก่ผู้ปลูกผู้ใช้รุนแรงมาก โดยใช้ได้ทั้งต้น ใบ ดอก แต่ไม่นิยมให้มีดอกติดจนบาน ต้องเก็บดอกเสียก่อน ก่อนที่ดอกจะบาน เพราะแม้แต่น้ำที่รดต้นว่าน ถ้าใครได้สัมผัสจะมีผลทางกามา กามราคะในจิตจะกำเริบรุนแรงยิ่งโดยเฉพาะผู้หญิง
       ปัจจุบันนับว่าหายาก ที่พบเจอส่วนใหญ่มีแต่โดนหลอก ส่วนใหญ่ผู้มีคุณที่ทราบจะปกปิดเพราะเกรงว่าคนที่มีจิตใจต่ำทรามจะเอาไปใช้ ในทางไม่ดี  คนสมัยก่อนนิยมเก็บดอกของว่านดอกทองไว้หุงกับน้ำมันจันทน์ หรือ บดรวมกับสีผึ้ง โดยวิธีใช้ คือใช้น้ำมันทาตัว หรือใช้สีผึ้งสีปาก เมื่อถึงคราวจะต้องไปพบปะผู้คน ใครต่อคารมด้วย พอได้กลิ่นว่านในน้ำมันหรือสีผึ้ง มักใจอ่อนคล้อยตามได้ง่ายนับเป็นว่านที่เป็นเสน่ห์มหานิยมที่รุนแรงมาก


ลักษณะทั่วไป :โดยแบ่งเป็นว่านดอกทองตัวเมีย และว่านดอกทองตัวผู้  ลักษณะเป็นว่านดอกทองจะ มีหัว ลำต้นใต้ดินเป็นเหง้า เหง้าหลักเป็นรูปทรงกลม แตกแขนงเป็นไหลขนาดเล็ก เนื้อในหัวสีเหลือง (ตัวผู้) เนื้อในหัวสีขาว(ตัวเมีย ฤทธิ์แรงกว่า)ลำต้นและใบเหมือนขมิ้น  ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม มีสีเขียว เส้นกลางใบและกาบใบมีสีแดงระเรื่อ มีดอกสีขาว กลีบปากดอกสีขาวมีแถบกลางสีเหลือง  กลิ่นหอมเย็น(คาว) ซึ่งถ้าดูในภาพในหนังสือ "ว่านสมุนไพร ไม้มงคลไทย " เล่มละ 615 บาท มันจะเป็นดอกทองตัวผู้ซึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ ว่านดอกทองตัวผู้มันจะมีเส้นกลางใบสีแดง ส่วนดอกทองตัวเมียต้นจะเล็กกว่ากาบใบจะมีสีแดงแต่ใบจะเป็นสีเขียวทั้งแผ่นดังภาพ

การปลูก ควรปลูกว่านดอกทองด้วยดินปนทรายรดน้ำมากๆ แต่ระวังอย่าให้ดินแฉะควรจัดวางให้ได้รับแสงแดดรำไรบ้างพอสมควร
^^! ถ้ายังดูไม่ออกก็ลองเปรียบเทียบดูจากภาพครับ

ว่านดอกทองตัวเมีย กาบจะมีสีแดงเรื่อแต่ใบจะ เบาๆพลิ้ว
มีสีเขียวทั้งใบมีเส้นเลาๆสีเขียวอ่อนแซม ตรงขอบใบมีสีเขียวอ่อน
ว่านดอกทองตัวเมีย
ว่านดอกทองตัวผู้ จุดตาย คือใบจะมันเงาเบาๆพลิ้วๆ มีเส้นกลางใบสีแดงครับ  

ดอกของว่านดอกทองตัวเมีย

ดอกของว่านดอกทองตัวผู้